ศังสกานท์
ศัพท์บัญญัติที่น่าสนใจ
ศังสกานท์ เป็นศัพท์บัญญัติที่คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์วรรณกรรมบัญญัติขึ้น จากคำ ode ซึ่งหมายถึง บทร้อยกรองประเภทหนึ่ง ที่ประพันธ์ขึ้นเป็นอนุสรณ์ หรือเพื่อสรรเสริญ สดุดี บุคคล สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ ตลอดจนสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนใหญ่มีความยาวพอสมควร และมีลักษณะสำคัญคือ เป็นบทร้อยกรองที่มีรูปแบบประณีต ซับซ้อน ใช้ภาษาและถ้อยคำที่สูงส่ง สง่างาม มีท่วงทำนองการเขียนเป็นแบบพิธีการ แสดงอารมณ์และความคิดที่สูงส่ง
บทร้อยกรองชนิดนี้ เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ กวีที่ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้ริเริ่มและมีอิทธิพลต่อกวีรุ่นหลัง ๆ คือ พินดาร์ (Pindar 522-442 B.C.) ซึ่งได้เขียนศังสกานท์เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ชนะการแข่งขันกีฬาของกรีก โดยนำเอารูปแบบและจังหวะลีลาของบทร้องของลูกคู่ในละครกรีกมาใช้ในการแต่ง เพราะศังสกานท์ในสมัยนั้นใช้ขับร้องและมีการเต้นรำประกอบด้วย (คำว่า ode ในภาษากรีก แปลว่า เพลง) ศังสกานท์แบบของพินดาร์จึงแบ่งออกเป็น ๓ ท่อน (strophe) เพื่อให้สอดคล้องกับการร้องและเต้นรำของลูกคู่ ท่อนแรก เรียกว่า strophe ร้องเมื่อเต้นไปทางซ้าย ท่อนที่สองเรียกว่า antistrophe ร้องเมื่อเต้นไปทางขวา และ epode ร้องเมื่อหยุดอยู่กับที่
กวีสมัยต่อมาที่ควรกล่าวถึงคือ ฮอเรซ (Horace 65-8 B.C.) กวีโรมันซึ่งแต่งศังสกานท์โดยใช้เนื้อหาที่เป็นเรื่องส่วนตัว เฉพาะบุคคล และใช้รูปแบบบท (stanza) ซ้ำ ๆ กันไปไม่แบ่งเป็น ๓ ท่อนอย่างของพินดาร์ กับอีกผู้หนึ่ง คือ คาวลีย์ (Cowley 1618-1667) กวีอังกฤษ ซึ่งแต่งศังสกานท์โดยเลียนแบบพินดาร์ แต่ไม่สนใจเรื่อง strophe ทั้งสาม ให้ความยาวของแต่ละบาท (line) และจำนวนบาทในแต่ละบท ตลอดจนสัมผัส แตกต่างกันไป กล่าวได้ว่าศังสกานท์แบบนี้ให้อิสระแก่กวีในการแสดงออกมากกว่าแบบของพินดาร์และฮอเรซ
ศังสกานท์ทั้งแบบของพินดาร์ ฮอเรซ และแบบอิสระอย่างของคาวลีย์ล้วนเป็นต้นแบบให้กวีอื่น ๆ ดำเนินตามสืบมา ตัวอย่างเช่น The Bard ของ เกรย์ (Gray 1761-1771) เป็นศังสกานท์แบบพินดาร์ Ode to Evening ของคอลลินส์ (Collins 1721-1759) เป็นแบบฮอเรซ และ Ode on Intimations of Immortality ของเวิดส์เวิร์ท เป็นศังสกานท์แบบอิสระอย่างคาวลีย์
ศังสกานท์มีทั้งประเภทที่ประพันธ์ขึ้นสำหรับโอกาสที่เป็นทางการ เช่น งานศพ งานวันเกิด หรืองานรัฐพิธี เช่น Ode on the Death of Duke of Wellington ของลอร์ดเทนนีสัน (Lord Tennyson 1809-1892) และประเภทที่ประพันธ์ขึ้นเพื่อแสดงอารมณ์หรือความคิดที่เป็นส่วนตัว เช่น Ode to Nightingale ของ คีตส์ (Keats 1795-1821)
ตัวอย่างศังสกานท์ที่เป็นที่รู้จักกันดีและได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศบทหนึ่ง คือ Ode on Gracian Urn ของ คีตส์ กวีอังกฤษ ศังสกานท์บทนี้ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ได้ทรงอธิบายและแปลเป็นภาษาไทยโดยประพันธ์เป็นโคลงสี่สุภาพ จึงขอนำมาลงไว้ในที่นี้เป็นบางส่วน ดังนี้
“คีตส์รำพันถึงโกศสมัยกรีก ซึ่งใช้บรรจุอัฐิวางไว้บนที่ฝังศพ และได้ระบายภาพที่รำพึงถึงโกศนั้น โดยแสดงให้เห็นภาพธรรมชาติป่าดงที่แวดล้อมอยู่ในความสงัดเงียบและเยือกเย็น ทำให้นึกฝันถึงเรื่องราวและตำนานต่าง ๆ ทั้งทุกข์ทั้งสุข ทั้งโศกทั้งสำราญ ให้ความหวังแก่คู่รักซึ่งต้องพลัดพรากจากกันไปสู่ปรโลกแล้ว ความรักก็ไม่มีวันวายแต่ยังสดชื่นอยู่ด้วยเพลิงรักอันจะดับมิได้แล้วรำพึงถึงอนิจจังความไม่เที่ยง ซึ่งบ้านเมืองอันอยู่ในความสงบสุขก็อาจต้องภัยพิบัติเริดร้างไปได้ ในที่สุดได้ให้คติข้อคิดไว้ว่า ในโลกนี้ ความงามก็คือความจริงและความจริงก็คือความงาม”
Thou still unravish’d bride of quietness? สูยังพิสุทธิ์แท้ พธูสันต์ |
คำ ศังสกานท์ เป็นการบัญญัติศัพท์ด้วยวิธีสร้างคำขึ้นใหม่ โดยนำคำภาษาสันสกฤต “ศงฺส” ซึ่งแปลว่า สรรเสริญ มารวมกับคำ “กานท์” ซึ่งแปลว่าบทกลอน ศังสกานท์ จึงมีความหมายว่า บทกลอนเพื่อสรรเสริญ อย่างไรก็ดี ศัพท์นี้คณะอนุกรรมการบัญญัติศัพท์วรรณกรรมได้คิดขึ้นเพื่อเสนอให้ทดลองใช้กัน ยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการบัญญัติศัพท์ภาษาไทย.
ที่มา : จดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๒