หนังสี่จอ

          “…ใครหนอรักเราเท่าชีวัน ใครหนอใครกันให้เราขี่คอ ใครหนอชักชวนดูหนังสี่จอ รู้แล้วละก็อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ” เนื้อเพลงท่อนนี้อยู่ในเพลง “ใครหนอ” ซึ่งเป็นที่คุ้นหูกันดีสำหรับผู้ที่มีอายุมากพอสมควร  ในเนื้อเพลงมีคำว่า “หนังสี่จอ” ซึ่งเด็กหลายคนคงสงสัยว่าคืออะไร แล้วทำไมต้องชักชวนกันดูหนังสี่จอ หนังสี่จอในเนื้อเพลงไม่ได้หมายถึงจอหนังที่ผู้คนในปัจจุบันนิยมเสียเงินไปหาความบันเทิงหรือแย่งกันดู แต่หนังสี่จอหมายถึง มุ้ง ซึ่งใช้เป็นเครื่องกันยุง ที่คนไทยแต่ก่อนจะขาดเสียมิได้ จอหนังก็คือด้านข้างและหลังคาของมุ้งด้านข้างทั้ง ๔ ด้าน ใช้ผ้าสาลูซึ่งเป็นผ้าฝ้ายเนื้อบางสีขาวนวลทอแบบโปร่ง ๆ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนเวลานอน และยังช่วยกันลมในเวลาหนาว และส่วนที่เป็นเพดานมุ้งใช้ผ้าเนื้อหนากว่าด้านข้างของมุ้ง  คนไทยสมัยก่อนเมื่อถึงเวลานอนในเวลากลางคืนจะต้องกางมุ้งเพื่อกันไม่ให้ยุงกัด เพราะบ้านเรือนไม่ได้ติดมุ้งลวดเหมือนในปัจจุบัน  เมื่อกางมุ้งแล้วพ่อแม่จะนำลูกเล็ก ๆ เข้ามุ้งและขับกล่อมให้นอน  ผู้ที่นอนในมุ้งจะมองเห็นด้านซ้าย ด้านขวา ด้านปลายเท้า และเพดาน รวมเป็น ๔ ด้าน ส่วนด้านที่อยู่บนศีรษะจะมองไม่เห็น และถ้ายังไม่นอนจะนั่งเล่นนั่งคุยกันในมุ้ง ก็จะเห็นด้านข้าง ๔ ด้าน ไม่เห็นด้านบนศีรษะเช่นกัน  เมื่อมีแสงสว่างส่องผ่านกระทบวัตถุจากด้านนอกมายังมุ้ง หรือใช้มือหรือวัตถุต่าง ๆ บังแสง จะทำให้เกิดเป็นเงาทาบอยู่ที่มุ้งมองเห็นเป็นภาพซึ่งเคลื่อนไหวได้เมื่อมีลมพัดมาถูกมุ้ง ทำให้ดูเหมือนกับภาพหนังที่กำลังฉายอยู่  ผู้ประพันธ์เพลงจึงเปรียบลักษณะด้านแต่ละด้านของมุ้งซึ่งผู้ที่อยู่ในมุ้งจะมองเห็นได้เป็นจอหนัง ๔ จอ ที่มีภาพเคลื่อนไหวให้ดู มีเสียงประกอบที่เป็นเสียงเพลงจากพ่อหรือแม่ขับกล่อม เล่านิทานให้ฟัง ชวนให้ลูกนอน เป็นจอหนังที่ให้ทั้งความเพลิดเพลิน ความสุข และยังมีกลิ่นอายของความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ ซึ่งจะหาได้จากจอหนังประเภทนี้เท่านั้น  ผู้อ่านที่เคยสงสัยคงจะเข้าใจแล้วว่าหนังสี่จอคืออะไร แล้ว “ใครหนอชักชวนดูหนังสี่จอ” แม้ในปัจจุบันผู้ที่มีโอกาสดู “หนังสี่จอ” จะมีน้อยลงก็ตาม แต่ “ใครหนอ” ก็ยังคงห่วงใยดูแลเสมอมา ฉะนั้นเมื่อ “รู้แล้วละก็อย่ามัวรั้งรอ ทดแทนบุญคุณ”

 พัชนะ  บุญประดิษฐ์