อาการติดโทรทัศน์

          ความต้องการของมนุษย์นั้นมีหลายรูปแบบ บางครั้งเราต้องการวัตถุ เช่น บ้าน อาหาร แต่ในบางโอกาสเราก็ต้องการความรู้สึก เช่น ความรัก ความอาทร ฯลฯ แต่ถ้าความต้องการทางจิตใจนั้นมีมากถึงระดับขาดไม่ได้นักจิตวิทยาเรียกอาการดังกล่าวว่า ติด เช่น ติดยา ติดพนัน ติดเหล้า   

          โลกทุกวันนี้มีอาการติดอีกชนิดหนึ่งที่ผู้คนเป็นกันมากคือ ติดโทรทัศน์ จนพ่อแม่บางคนมีความรู้สึกว่า ลูกของตน (และบางครั้งก็ตนเอง) ติดทีวี ซึ่งหมายความว่า เขาใช้เวลาดูทีวีนานและมากกว่าที่จิตใจเขาต้องการ และถึงแม้เขาจะพยายามลดเวลาการจ้องจอทีวีสักเท่าใด เขาก็ทำไม่สำเร็จ ในกรณีการติดอย่างรุนแรง ชีวิตในครอบครัวและชีวิตในสังคมของคนติดทีวีจะบกพร่อง และในที่สุดคนคนนั้นก็จะหลบหนี ตัดขาดจากสังคมไปอย่างถาวร

          นักจิตวิทยาได้รู้มานานพอสมควรแล้วว่า รายการทีวีที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงสามารถเหนี่ยวนำให้คนที่มีความรู้สึกอ่อนไหว ลอกเลียนพฤติกรรมภัยได้  แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าการดูทีวีเป็นเรื่องผิดจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรม เพราะรายการโทรทัศน์หลายรายการให้ความรู้เชิงความบันเทิงแก่คนดู นอกจากนี้ การดูภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ก็ยังเป็นทางออกเชิงอารมณ์ให้คนดู (บางคน) ได้หลบหนีจากชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายและสุดเซ็งของตนในแต่ละวันได้ด้วย

          แต่ปัญหาของการติดทีวีสามารถเกิดได้ เมื่อคนบางคนรู้อยู่แก่ใจว่า ตนไม่ควรใช้เวลาดูทีวีนาน แต่ก็อดเดินไปเปิดทีวีและนั่งดูหรือนอนดูนานเป็นชั่วโมงจนเสียงานเสียการที่ตนตั้งใจทำ ดังนั้น การศึกษาว่าเหตุใดคนจึงติดทีวี จะสามารถช่วยให้คนติดสื่อประเภทนี้สามารถควบคุมจิตใจและชีวิตตนเองได้ดีขึ้น

          ในวารสาร Scientific American ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ..  R. Kubey แห่งมหาวิทยาลัย Rutgers ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า คนอเมริกันดูโทรทัศน์โดยเฉลี่ยวันละ ๓ ชั่วโมง ซึ่งคิดเป็นร้อยละ ๕๐ ของเวลาว่างในแต่ละวันที่เขามี และถ้าเขาดูทีวีทุกวันเช่นนี้ หากเขามีอายุยืนถึง ๗๕ ปี เขาก็จะใช้เวลาดูทีวีนานถึง ๙ ปี และในการสำรวจโดย Gallup โพลก็ได้สถิติว่าใน พ.ศ. ๒๕๔๓ ผู้ใหญ่ร้อยละ  ๔๐ และเด็กร้อยละ ๗๐ มีความรู้สึกว่าตนใช้เวลาดูทีวีมากเกินไปจนถึงระดับ “ติด” อย่างรุนแรง และคนติดทีวีเหล่านี้เวลาจะดูทีวีก็มักให้เหตุผลว่า การดูโทรทัศน์จะทำให้ตนรู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ แต่ทันทีที่ปิดทีวีความเครียดก็จะหวนกลับมาทันที ในการตรวจสอบการอ้างนี้ Kubey ได้ถ่ายภาพสมองและวัดชีพจรของคนเวลาดูทีวี

          เขาได้พบว่า ขณะดูทีวีอารมณ์ของคนดูจะไม่เครียดและไม่กระตือรือร้นใด ๆ และเมื่อถึงเวลาปิดทีวีความเครียดจะคลายลงไปมาก แต่ความไม่กระตือรือร้นก็ยังคงมีต่อไป ข้อมูลที่ได้นี้แสดงให้เห็นชัดว่า โทรทัศน์ได้ดึงดูดพลังชีวิตไปจากคนดู จนทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลีย ไร้สมาธิ ซึ่งก็ตรงกับผลการสำรวจที่ได้ในเวลาต่อมาว่า สมาธิของคนหลังดูทีวีแย่กว่าก่อนดู แต่ถ้าเป็นการเล่นกีฬาออกกำลังกาย เรามักพบว่าสมาธิหลังเล่นดีกว่าก่อนเล่น

          Kubey ได้พบอีกว่า เวลาจะเปิดทีวีคนทั่วไปมักรู้สบาย ๆ ไม่เครียดเสมือนจะบอกตนว่าเวลาต่อไปนี้คือเวลาพักผ่อนแล้ว แต่เมื่อดูไป ๆ คนดูจะรู้สึกอ่อนล้าหรือเวลาไม่มีทีวีดูเขาก็จะรู้สึกเครียด เพราะคิดไปว่าการดูทีวีคือการคลายเครียด ความคิดเช่นนี้ทำให้เขาต้องเปิดทีวีดูทุกครั้งที่เครียด และการเปิดทีวีบ่อย ๆ จะทำให้คนคนนั้นติดทีวีในที่สุด

          เมื่อ ๗๕ ปีก่อน Ivan Pavlov นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียได้พบว่า สมองคนมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งกระตุ้นเร้าได้ เช่น เวลาเราเห็นอะไรก็ตาม ม่านตาเราจะขยายตัวและเส้นเลือดที่นำเลือดไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อจะหดตัว เพราะสมองจะทำหน้าที่หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตาเห็น ในขณะที่อวัยวะอื่น ๆ ของร่างกายจะอยู่ในภาวะสงบนิ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อใดก็ตามที่มีการเปิดทีวี คนทุกคนจะอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปดูหรือจ้องดูไปเรื่อย ๆ เหมือนตนถูกทีวีสะกดจิตยังไงยังงั้น การทดสอบยังแสดงให้เห็นอีกว่า ภายในเวลาเพียง ๔-๖ วินาที หลังจากเริ่มดูทีวีอัตราการเต้นของหัวใจคนดูจะลดลงทันที

          การอดไม่ได้ที่จะดูเพราะสมองต้องการรู้ข้อมูลนี้ มีผลต่อเนื้อหาของการทำ music video และวิธีการโฆษณาสินค้าทางทีวี ซึ่งเราจะเห็นว่าในการผลิตสื่อประเภทนี้ผู้ผลิตมักใช้วิธีตัดต่อและสอดแทรกภาพต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ทั้ง ๆ ที่ภาพเหล่านั้นบางภาพไม่เกี่ยวข้องกันเลย ทั้งนี้เพราะผู้โฆษณาหรือผู้ขายต้องการให้คนดูจับตาและสนใจดูมากกว่าที่จะให้ข้อมูลแก่คนดู ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อโฆษณาหรือวิดีโอจบ คนดูจำรายละเอียดของการโฆษณาแทบไม่ได้เลย แต่อาจจำชื่อของสินค้านั้นได้เท่านั้น และมักรู้สึกเหนื่อยอ่อนเพราะสายตาต้องติดตามภาพที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วตลอดเวลา ซึ่งก็ทำให้ผู้โฆษณาพอใจ เพราะเวลาคนดูไปซื้อสินค้าประเภทนั้น ถึงแม้เขาแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสินค้าเลย แต่เขาก็รู้สึก “คุ้นเคย” กับสินค้าเพราะจำชื่อสินค้านั้นได้

          ในการทดสอบสภาพจิตใจของการดูทีวีว่า การดูทีวีมากมีอิทธิพลต่อคุณภาพการทำงาน การกิน การอ่านหนังสือ และการสนทนาอย่างไร นักจิตวิทยาได้พบว่า คนติดทีวีมักไม่ชอบการอยู่ร่วมกับคนอื่น และเวลาว่างคนติดทีวีจะรู้สึกระวนกระวายมากกว่าคนไม่ติด หรือเวลาเข้าคิวใจคนติดทีวีจะสงบน้อยกว่า และรู้สึกเบื่อหน่ายง่าย รวมทั้งมีสมาธิสั้นด้วย และคนติดทีวีมักอ้างว่า การดูทีวีจะทำให้เขาลืมเรื่องร้าย และเรื่องทุกข์ร้อนต่าง ๆ ได้ นักจิตวิทยามีคำถามหนึ่งที่น่าสนใจคือ คนเราติดทีวีเพราะเหตุใดเพราะเขารู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตหรือเพราะเหงา หรือการดูทีวีมากทำให้คนดูรู้สึกเบื่อและเหงากันแน่

          L. Jerome แห่งมหาวิทยาลัย Yale ในสหรัฐอเมริกาได้เคยศึกษาเรื่องนี้ และได้ข้อสรุปว่า ถ้ายิ่งดูทีวีสมาธิจะยิ่งสั้น และคนที่ดูทีวีมากจะมีขีดความอดทนและอดกลั้นต่อปัญหาชีวิตในระดับต่ำ และเมื่อประมาณ ๒๕ ปีก่อนนี้ T.M. Mac. Beth Williams แห่งมหาวิทยาลัย British Columbia ในแคนาดา ก็ได้พบว่าจากการศึกษาวิถีชีวิตของชาวเขาในสมัยที่ยังไม่มีทีวี  สมาชิกในครอบครัวสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างสร้างสรรค์ แต่พอมีทีวีสมาชิกในยามว่างมีความรู้สึกอดทนและอดกลั้นน้อยลง หรือในยามทีวีเสียบุคคลในครอบครัวจะกระสับกระส่ายและวิวาทกันบ่อย หลายคนในครอบครัวมีความรู้สึกว่าการขาดทีวีเกือบเหมือนการขาดอากาศหายใจ

          สำหรับวิธีการที่ต่อต้านการติดทีวีนั้น นักจิตวิทยาแนะนำว่าคนติดต้องตระหนักให้ได้ก่อนว่า ตนกำลังมีปัญหาเรื่องนี้ เพราะตนใช้เวลามากเกินไป (กว่า ๗ ชั่วโมง/วัน) อยู่หน้าจอทีวี และการดูรายการทั้งหลายนั้นไม่อำนวยประโยชน์อะไรมาก การจดบันทึกรายการที่ตนดูในแต่ละวันจะช่วยให้ตนดูรู้ว่าสิ่งที่ตนดูนั้น มีคุณภาพเช่นไร  จากนั้นวิธีแก้ไขขั้นต่อไปคือ เมื่อเสร็จจากการรับประทานอาหารเย็นก็ให้หากิจกรรมอื่นทำการฝึกจิตใจให้เข้มแข็งก็เป็นเรื่องจำเป็น เพราะเราจำต้องตัดใจปิดทีวี หากภาพยนตร์ที่เราดูไม่ดี ซึ่งเราจะรู้ภายใน ๕ นาที แทนที่จะทน ดูไปอีกนาน ๒ ชั่วโมง  การตั้งนาฬิกาจับเวลาก็สามารถช่วยได้บ้าง เพราะเวลานาฬิกาปลุกดัง นั่นหมายความว่าเด็กหมดเวลาดูทีวีแล้ว และเด็กจะรู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงระฆังเตือนให้เข้าเรียน หรือเลิกเรียนในโรงเรียน ทีวีเมืองนอกทุกวันนี้มีไมโครชิปสำหรับป้องกันมิให้คนดูดูรายการทีวีที่โหดร้ายทารุณได้  นี่เป็นวิธีควบคุมคุณภาพรายการดูวิธีหนึ่ง และครอบครัวหนึ่ง ๆ ก็ไม่ควรมีโทรทัศน์มากเท่าจำนวนสมาชิกในครอบครัว เพื่อให้สมาชิกได้ดูรายการร่วมกัน วิธีเหล่านี้อาจช่วยบังคับคนบางคนไม่ให้ติดทีวีได้ นอกจากนี้ การศึกษาในโรงเรียนควรมีการสอนให้รู้จักคุณโทษของการใช้สื่อต่าง ๆ ในการเรียนรู้ด้วย  เพื่อให้เด็กสามารถวิเคราะห์ได้ว่า ข้อมูลข่าวสารที่เขาได้รับนั้น มีประโยชน์และโทษเพียงใด

          การติดวิดีโอเกมและอินเทอร์เน็ตในเด็ก ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่ยังไม่มีการวิจัยมาก  ในกรณีเด็กบางคนการเล่นเกมเป็นทางออกของจิตใจที่ต้องการหลบหนีจากชีวิตที่ยุ่งยากลำบาก ซึ่งการได้เล่นจะทำให้เด็กมีความรู้สึกดีแต่ถ้าทุกครั้งที่กังวลหรือกลุ้มแล้วต้องหันเข้าหาเกม เราก็ถือเป็นอาการติดที่ต้องบำบัด นอกจากนี้ ข้อเสียอีกประการหนึ่งของการเล่นเกมคือ ทำให้คนเล่นเหนื่อยและเวียนศีรษะหากเล่นนานด้วย ดังที่มีรายงานเมื่อ ๕ ปีก่อนนี้ว่า หลังจากที่ได้เล่นเกม Pokemon เด็กญี่ปุ่น ๗๐๐ คนถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะเป็นโรคชักกระตุก อันเป็นผลจากการเล่นเกมนาน  บริษัทผู้ผลิตเกมนี้จึงต้องออกคำเตือนให้ผู้เล่นระมัดระวังเพราะการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของภาพบนจอ มักทำให้สมองเด็กมึนหลังจากที่เล่นไปได้นานประมาณ ๑๕ นาที

          ในอนาคต จำนวนคนดูและติดทีวีจะมากขึ้น ๆ เมื่อโทรทัศน์สามารถกำหนดพฤติกรรมของคนดูได้ เราจึงต้องระมัดระวังอำนาจหรืออิทธิพลจากสื่อประเภทนี้ไม่ให้กระทบกระเทือนต่อชีวิตเรานักเพราะทีวีเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการบันเทิงและเป็นทางออกให้จิตใจที่วุ่นวายได้หลบหนีชั่วขณะหนึ่ง มันจึงเป็นประโยชน์ ถ้าเราดูรายการต่าง ๆ อย่างพอประมาณ แต่ถ้าเราดูมันมากไป มันจะชะลอการพัฒนาชีวิตของเรา และถ้าเราติดมัน ชีวิตด้านมนุษยสัมพันธ์ของเราจะถูกทำลายอย่างถาวรครับ

ผู้เขียน : ศ. ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ประเภทวิทยาศาสตร์กายภาพ สาขาวิชาฟิสิกส์ สำนักวิทยาศาสตร์